ทำไมเราต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า VAT

0
5221

เชื่อว่ามีหลายคนที่เคยเข้าไปใช้บริการตามห้างสรรพสินค้าแล้วต้องเจอกับการซื้อสินค้าที่รวม VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ขึ้นมาอีก 7% และเกิดคำถามขึ้นในใจว่า VAT มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งถ้าใครยังคงสงสัยว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT มันคืออะไร ทำไมเราต้องเสียกันด้วยล่ะก็ วันนี้เราจะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจเรื่องทั้งหมดกันเอง

ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT นั้นเป็นภาษีทางอ้อมประเภทนึงที่เรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือรัฐบาลเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตรงนี้เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเราที่เป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย ทั้งหมด 7% จากค่าใช้จ่ายรวม แล้วนำไปชำระให้แก่รัฐบาล
ซึ่งผู้ประกอบการเค้าจะคิดคำนวณภาษีและบวกกับราคาสินค้าและบริการเอาไว้แล้ว โดยจะแยกให้เราเห็นชัด ๆ เลยว่าราคาสินค้าเท่าไหร่ และภาษีมูลค่าเพิ่มอีกเท่าไหร่ เช่น ถ้าสินค้าชิ้นนึงราคา 500 บาท ทางร้านค้าจะขาย 535 บาท เพราะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 35 บาทนั่นเอง ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มตรงนี้เราก็จะเห็นว่ามันอยู่ในการใช้จ่ายทั้งหมดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเดินห้าง ซื้อของ หรือแม้แต่จ่ายค่าอาหารต่าง ๆ ก็หนีไม่พ้นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยอยู่ดี

 

ทำไมเราต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า VAT

 

เสียภาษีเงินได้แล้วยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกเหรอ ?

ต้องบอกตรงนี้ก่อนนะว่าภาษีเงินได้ กับ ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นอยู่คนละส่วนกัน เพราะทุกวันนี้ถึงแม้ว่าคนทุกคนในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีเงินได้ หรือ ภงด. อยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ทำให้ไม่ต้องจ่ายภาษี แถมยังมีการขอลดหย่อนภาษีได้อีกต่างหาก ทำให้การเก็บภาษีเป็นไปได้น้อย
และนอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีรายได้มากมายมหาศาลแต่ก็ไม่ยอมจ่ายภาษี หรือจ่ายเพียงนิดเดียว โดยการปรุงแต่งบัญชีให้เหมือนกับว่าตัวเองมีรายได้น้อย จะได้เสียภาษีน้อย เพราะเหตุนี้แหละทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะเป็นภาษีทางอ้อมที่จะบังคับให้ผู้บริโภคทุกคนต้องเสียภาษีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลมีรายได้ไม่พอพัฒนาประเทศ เค้าก็จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แถมได้เงินจำนวนมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว

จะจดภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่ดี

สำหรับเจ้าของธุรกิจก็คงต้องเกิดความสงสัยว่าตัวเองจะเริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตอนไหน เพราะถ้าไม่เก็บล่ะก็ เวลาตัวเองไปซื้อของหรือวัตถุดิบมา ก็ต้องเสียค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับกรมสรรพากรไปฟรี ๆ เพราะเวลาเราขายเราดันไม่ยอมบวกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปเอง แต่หลาย ๆ คนก็ไม่อยากจดเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ผู้บริโภครับภาระหนักและทำให้ราคาค่าบริการของตัวเองสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เสียลูกค้าได้
เพราะฉะนั้นก่อนจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนคนอื่น ๆ เค้าให้เข้าไปดูก่อนว่า ธุรกิจเราสามารถจดได้หรือเปล่า โดยเข้าไปเช็กที่เว็บของกรมสรรพากรที่ลิงก์นี้เลย http://www.rd.go.th/publish/7052.0.html
หรืออีกวิธีนึงคือดูว่าธุรกิจเรามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีมั้ย เพราะถ้าไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้นตามลิงก์ข้างบน แล้วธุรกิจเรามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้แล้ว เราก็ต้องรีบยื่นเรื่องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันทันทีกับทางกรมสรรพากร

 

ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

สำหรับผู้ประกอบการคนไหนที่กลัวว่าถ้าตัวเองจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะทำให้ราคาค่าสินค้าและบริการของตัวเองสูงกว่าคู่แข่ง แล้วลูกค้าจะหายล่ะก็ แนะนำให้ว่าไม่ต้องเครียดไปครับ เพราะต่อให้คู่แข่งของเราเค้าจะไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และสามารถขายสินค้าได้ถูกกว่าเรา แต่สุดท้ายเค้าก็ต้องจ่ายค่าภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของวัสดุ วัตถุดิบ ที่เค้าซื้อมาจากผู้ประกอบการท่านอื่น ๆ ด้วยตัวเค้าเอง
แต่เราในฐานะที่เราจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเก็บเงินลูกค้ามาแพงกว่า เราก็สามารถเอาเงินตรงนั้นไปหักลบกับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของวัสดุ และวัตถุดิบของผู้ประกอบการท่านอื่นที่เราซื้อมาและนำส่งกรมสรรพากรได้เลย ทำให้ได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ยกตัวอย่างเช่น เราขายสินค้า 1,000 บาท มีคนมาซื้อ เราก็ต้องขายไปในราคาที่บวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% เท่มกัง 70 บาท รวมทั้งหมดคือ 1,070 บาท ซึ่งคู่แข่งเราขายแค่ 1,000 บาท เพราะไม่ต้องมีค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม

ในขณะเดียวกันเวลาเราซื้อสินค้า วัสดุ หรือวัตถุดิบจากผู้ประกอบการท่านอื่น สมมติเราซื้อมา 500 บาท มีค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 35 บาท เป็น 535 บาท เราก็สามารถเอานำภาษีซื้อจำนวน 35 บาทมาหักออกจากภาษีขาย 70 บาทข้างต้นได้เลย เท่ากับเราไม่ต้องจ่ายค่าภาษีซื้อสักบาทเดียว แต่คู่แข่งของเราเค้าไม่สามารถหักได้ เท่ากับเค้าต้องจ่ายค่าภาษีซื้อไปเต็ม ๆ ด้วยเงินตัวเอง 35 บาท ตรงนี้แหละที่ทำให้เราได้กำไรมากกว่าคู่แข่งที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ซึ่งแนะนำว่างานนี้ทำตามกฎกติกาที่เค้าวางไว้ดีที่สุด