สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าว่าประกันแต่ละชั้น ทั้ง ประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 3 ประกันชั้น 3+ ที่เราได้ยินคุ้นหูกันเนี่ย ต่างกันยังไงบ้าง และเหมาะกับใครบ้าง และเราจะทำประกันรถยนต์ชั้นไหนดี
ประกันแต่ละชั้นแตกต่างกันที่ ‘ความคุ้มครอง’
ก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องความต่างของประกันแต่ละชั้น รู้มั้ยครับว่า ประกันรถแต่ละชั้นที่เค้าบอกว่าต่างกันเนี่ย ต่างกันที่อะไร? ต่างกันตรงไหน?
จริงๆแล้วประกันแต่ละชั้นที่ต่างกัน ต่างกันด้วย ’ความคุ้มครอง’ ครับ บางตัวมีความคุ้มครองครบ บางตัวก็ตัดความคุ้มครองบางอย่างออกไป
ซึ่งความคุ้มครองของประกันรถยนต์ ทั้งหมดในภาพรวม มีอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ
ประกันรถยนต์คุ้มครองอะไร
ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ ถูกแบ่งออกเป็น 2 อย่าง ง่ายๆครับ
- คุ้มครองคน
- คุ้มครองทรัพย์สิน
ครับ มีแค่นี้แหละครับ ความคุ้มครองหลักๆของประกันรถยนต์ ไม่ คุ้มครองคน ก็ คุ้มครองทรัพย์สิน
คุ้มครองคน
ความคุ้มครองคน ถูกแบ่งออกมาเป็นสองแบบอีกครับ คือ
- คุ้มครองคนที่อยู่นอกรถ หมายความว่า เวลาเราขับรถไปชนคนเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต ประกันก็จะจ่ายค่ารักษาหรือค่าชดเชยให้คนๆนั้นครับ
- คุ้มครองคนที่อยู่ในรถ หมายความว่า เวลาเราขับรถชนแล้วหัวเราดันกระแทกพวกมาลัย เป็นแผล หรือเกิดพิการหรือเสียชีวิต อันนี้ประกันก็จ่ายค่ารักษาหรือค่าชดเชยให้เราและผู้โดยสารในรถด้วยเช่นกันครับ
คุ้มครองทรัพย์สิน
ความคุ้มครองทรัพย์สินก็ถูกแบ่งเป็นสองแบบอีกเช่นกันครับ คือ
- คุ้มครองทรัพย์สินของคนอื่น (ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก) นับรวม ทรัพย์สินของคนอื่นทุกอย่างครับ เช่น กรณีเราขับรถไปชนบ้านคนอื่น ชนรถคนอื่น หรือชนคนแล้วบังเอิญคนๆนั้นถือโทรศัพท์อยู่ เกิดโทรศัพท์ตกพื้นพังขึ้นมา ทุกๆอย่างเหล่านี้ ก็จะนับรวมเป็นความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอกครับ
- คุ้มครองรถเรา สำหรับฝั่งนี้ ผมไม่ได้ใช้คำว่าทรัพย์สินของเราเหมือนๆกับทรัพย์สินของคนอื่นนะครับ เนื่องจากประกันรถยนต์จะคุ้มครองเพียงแค่ ’ตัวรถยนต์’ ของเราเท่านั้นนะครับ จะไม่ได้คุ้มครองทรัพย์สินของเราต่างๆที่ไม่ใช่รถ ไม่เหมือนกับ ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
ทีนี้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยในส่วน ความคุ้มครองรถเรา เนี่ย แบ่งได้อีก 2 อย่าง คือ
- อุบัติเหตุทั่วไป ที่เกิดกับรถเรา
- ความคุ้มครองรถหายหรือไฟไหม้ รถเรา นั่นเองครับ
ครับทีนี้ทุกคนก็รู้ครบถ้วนแล้วครับว่าความคุ้มครองของประกันรถยนต์ มีเท่านี้เลย และจะไม่หลุดไปจากนี้แล้วแน่นอนครับ
เปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละชั้นคุ้มครองอะไรบ้าง
ทีนี้เรามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ แต่ละชั้นว่า มีความคุ้มครองอะไรอยู่บ้าง? และ แตกต่างกันตรงไหนบ้าง?
โดยประกันทั้งหมดที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ก็จะมีดังนี้ครับ
เรียงจากความคุ้มครองมากไปน้อย
- ประกันรถยนต์ชั้น 1
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+
- ประกันรถยนต์ชั้น 2
- ประกันรถยนต์ชั้น 3+
- ประกันรถยนต์ชั้น 3
*เกร็ดความรู้เล็กน้อยนะครับ ประกันรถยนต์แต่ละชั้น ‘ยิ่งเลขสูงเท่าไหร่ ความคุ้มครองจะยิ่งน้อยลง’ ครับ แล้วแบบนี้เราจะเลือกประกันรถยนต์ชั้นไหนดีมาดูข้อมูลที่ผมเตรียมไว้ได้เลยครับ
ประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เข้าใจง่ายมากๆครับ ความคุ้มครองทั้งหมดที่กล่าวถึง ทั้ง ความคุ้มครองคน และ ความคุ้มครองทรัพย์สิน ประกันรถยนต์ชั้น1 คุ้มครองหมดเลยครับ รวมทั้งยังคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแบบไม่มีคู่กรณีด้วยนะ เช่น เจอคนชนแล้วหนีก็เคลมได้ หรือเกิดเหตุขับรถชนฟุตปาธก็เคลมซ่อมได้ครับ
ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 1
- คุ้มครองคนทั้งที่อยู่ภายนอกรถ และ คนที่อยู่ภายในรถ
- ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรถเรา
- กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป
- กรณีรถหาย / ไฟไหม้
ประกันรถยนต์ชั้น 2
ประกันรถยนต์ชั้น 2 ก็คือ ตัดความคุ้มครองในส่วน ‘คุ้มครองรถเรา กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป’ ออกไปเท่านั้นเองครับ เช่น หมายความว่าในกรณีที่เราขับรถไปชนเสาไฟฟ้า หรือ ชนรถคันอื่น เสาไฟฟ้าหัก หรือ รถคันอื่นเสียหาย ประกันจะไม่คุ้มครองรถเราหรือไม่ซ่อมรถเรานั่นเองครับ (แต่ซ่อมเสาไฟฟ้าที่หักและ ซ่อมรถคนอื่นนะครับ เพราะนับอยู่ในทรัพย์สินของคนอื่น)
ถาม : แต่ถ้าเราขับรถเสาไฟฟ้าแล้วรถเกิดไฟไหม้ คิดว่าประกันคุ้มครองรถเรามั้ยครับ ?
ตอบ : อันนี้คุ้มครองนะครับ เพราะว่าถือว่าอยู่ในส่วนของความคุ้มครองสูญหายไฟไหม้นั่นเองครับ
ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 2
- คุ้มครองคนทั้งที่อยู่ภายนอกรถ และ คนที่อยู่ภายในรถ
- ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรถเรา
- กรณีรถหาย / ไฟไหม้
ประกันรถยนต์ชั้น 3
ประกันรถยนต์ชั้น 3 เข้าใจง่ายๆครับ คือ ตัดความคุ้มครองส่วนของรถเราออกไปเลยครับ ก็คือประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองรถเราไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามนะครับ
หมายความว่า กรณีเราชนเสาไฟฟ้าหรือรถคนอื่น ถ้าเราขับชนเสาไฟฟ้าหักหรือชนรถคันอื่น และรถไฟไหม้ด้วย ประกันจะไม่รับผิดชอบหรือไม่ซ่อมรถเราเลยนะครับ แต่ยังซ่อมเสาไฟฟ้าและรถคันอื่นเหมือนเดิมครับ
ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 3
- คุ้มครองคนทั้งที่อยู่ภายนอกรถ และ คนที่อยู่ภายในรถ
- ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
ประกันรถยนต์ชั้น 2+
ความคุ้มครองของ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ มีความใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 มากที่สุดครับ
โดยประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะเป็นการ นำประกันรถยนต์ชั้น 1 มาเพิ่มข้อยกเว้นครับ
ในหัวข้อ ‘ความคุ้มครองรถเรา > กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป’ โดยประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะคุ้มครองอุบัติเหตุทั่วไป ต่อเมื่อ รถเราชนกับรถและมอเตอร์ไซค์ ที่มีทะเบียน และเรามีหลักฐานว่าชนครับ
หมายความว่า หากโดนชนแล้วหนี ไม่มีหลักฐาน และจำทะเบียนไม่ได้ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครอง รวมถึงการชนสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ รถหรือมอเตอร์ไซค์ เช่น ชนฟุตบาท ชนกำแพง ประกันชั้น 2+ ก็จะไม่คุ้มครองเช่นกันครับผม
ความคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 2+
- คุ้มครองคนทั้งที่อยู่ภายนอกรถ และ คนที่อยู่ภายในรถ
- ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรถเรา
- กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป (มีเงื่อนไข คุ้มครองกรณี รถชนกับรถ เท่านั้น)
- กรณีรถหาย / ไฟไหม้
ประกันรถยนต์ชั้น 3+
สำหรับคนที่มีงบประมาณไม่มากแต่อยากได้ความคุ้มครอง ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็น่าสนใจนะครับ จะมีความคล้ายกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ มากครับ คือจะเพิ่มเงื่อนไข ในหัวข้อ ‘ความคุ้มครองรถเรา กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป’ เช่นกันครับ จะคุ้มครองอุบัติเหตุทั่วไป ต่อเมื่อรถเราชนกับรถและมอเตอร์ไซค์ ที่มีทะเบียน และเรามีหลักฐานว่าชนครับ
โดยความคุ้มครองทุกอย่างจะเหมือนกับประกันชั้น 2+ เลยครับ ต่างกันเพียง ความคุ้มครองรถสูญหายและไฟไหม้ นั่นเอง ที่ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะไม่คุ้มครองนั่นเองครับ
ความคุ้มครองของประกันชั้น 3+
- คุ้มครองคนทั้งที่อยู่ภายนอกรถ และ คนที่อยู่ภายในรถ
- ความคุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
- คุ้มครองรถเรา
- กรณีเกิดอุบัติเหตุทั่วไป (มีเงื่อนไข คุ้มครองกรณี รถชนกับรถ เท่านั้น)
โดยปกติหลายๆคนยังมีความเข้าใจผิดและมีคำถามในความคุ้มครองของประกันรถยนต์แต่ละชั้น ว่าประกันรถยนต์ต่างกันยังไง และสมควรจะเลือกทำประกันรถยนต์ชั้นไหนดี
เนื่องจากประกันรถยนต์เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ง่ายเลยครับ ผมจึงอยากให้ทุกๆคนได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ และสามารถเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และพฤติกรรมการขับรถของตัวเองได้ครับ หากเพียงแค่เข้าใจเบื้องต้นก็สามารถที่จะเซฟเงินในกระเป๋าไปได้หลายบาทเลยทีเดียว หวังว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนประหยัดเงิน และได้ประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองนะครับ