เตรียมตัวก่อนสอบใบขับขี่

0
18483

เดี๋ยวนี้ใบขับขี่รถยนต์นี่เป็นอะไรที่ต้องมีติดกระเป๋าตังค์กันไว้ทุกคนเลยนะ เพราะไม่ว่าจะบ้านไหน ๆ เค้าก็มีรถยนต์ส่วนตัวใช้กันทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง การที่เราทำใบขับขี่ไว้ก็จะช่วยให้เราสามารถขับรถได้อย่างอุ่นใจ จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ หรือถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินในบ้านขึ้นมาอย่างน้อยๆ เราก็ยังสามารถขับรถพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลได้ เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่มีใบขับขี่ ก็ขอแนะนำให้ไปทำเรื่อง และหาความรู้เตรียมตัวก่อนสอบใบขับขี่ได้เลย

อายุเท่าไหร่ถึงจะทำใบขับขี่ได้

หลังจากที่เพื่อน ๆ เริ่มมองเห็นความสำคัญของใบขับขี่แล้ว ทีนี้เราก็มาเช็กคุณสมบัติของตัวเองกันก่อน เป็นการเตรียมตัวก่อนสอบใบขับขี่ ซึ่งคนที่สามารถทำใบขับขี่ได้นั้นต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  1. ทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป
  2. ทำใบขับขี่รถยนต์ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป
  3. ไม่พิการทางสายตา ตาบอด ตาบอดสี
  4. ผู้พิการแขนขาดข้างเดียว ผู้พิการขาขาดข้างเดียว ผู้พิการตาบอดข้างเดียว ลำตั
  5. พิการ หรือหูหนวก ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกเพื่อขอรับคำปรึกษา

เอกสารที่ต้องใช้ในการสอบใบขับขี่

เช็กสภาพร่างกาย และอายุของตัวเองเรียบร้อยแล้ว การเตรียมตัวก่อนสอบใบขับขี่เรื่องต่อไปก็คือเรื่องของเอกสารนี่แหละ เพราะอาจจะต้องใช้เอกสารหลายอย่างหน่อย ดังนั้นแนะนำให้เพื่อน ๆ ทำเช็กลิสต์ให้ดี จะได้ไม่มีอะไรหลงลืมก่อนไปสอบใบขับขี่

  1. บัตรประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา
  2. ถ้าไม่มีบัตรประชาชน ให้ใช้บัตรข้าราชการ หรือหลักฐานอื่น ๆ แทน พร้อมสำเนา
  3. ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกิน 1 เดือน
  4. สำเนาทะเบียนบ้าน

สอบใบขับขี่ ใช้เวลากี่วัน

เดี๋ยวนี้การทำใบขับขี่เค้าใช้เวลากัน 2 วันแล้วนะ แนะนำให้เพื่อน ๆ หาความรู้ ติวข้อสอบใบขับขี่กันมาให้พร้อม และเตรียมตัวก่อนสอบใบขับขี่กันมาดี ๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา โดยทางกรมการขนส่งทางบกเค้าจะแบ่งกิจกรรมทุกอย่างไว้ตามวันดังนี้

วันแรก

1. รับบัตรคิว
2. ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่
3. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
  • ทดสอบตาบอดสี โดยการเรียกชื่อสีสัญญาณไฟจราจรจำลอง
  • ทดสอบสายตาทางลึก โดยการกดปุ่มเลื่อนเสา 2 เสาให้อยู่ตำแหน่งตรงกัน
  • ทดสอบสายตาทางกว้าง จ้องจุดสีตรงกลาง แล้วตอบให้ถูกว่าสีที่หางตาคือสีอะไร
  • ทดสอบการใช้เท้า โดยการเหยียบคันเร่ง แล้วเหยียบเบรกทันทีที่เห็นสัญญาณไฟสีแดง

4. ฟังอบรมทฤษฎีการขับรถ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
5. สอบข้อเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีการขับรถ ให้เวลา 1 ชั่วโมง ทำข้อสอบ 30 ข้อ ต้องตอบให้ถูก 23 ข้อขึ้นไป รู้ผลทันที ถ้าผ่านก็มาสอบปฏิบัติใหม่ในวันถัดไป ตรงนี้แหละที่หลาย ๆ คนชอบคิดว่าง่าย และเผลอสอบตกกันมาก ดังนั้นแนะนำให้ติวข้อสอบใบขับขี่กันไปให้พร้อมด้วย

 

วันที่สอง

หลังจากติวข้อสอบใบขับขี่จนสอบผ่านข้อเขียนมาได้แล้ว วันต่อมาเราต้องสอบปฏิบัติกัน ซึ่งมีทั้งหมด 6 ขั้นตอนดังนี้
1. ขับรถหยุดเทียบทางเท้า ด้านซ้ายของรถต้องจอดขนานกับขอบทาง ห่างได้ไม่เกิน 25 เซนติเมตร ด้านหน้าของรถต้องไม่ล้ำเกินจุดหยุดรถข้างทาง และมีระยะห่างไม่เกิน 1 เมตร ห้ามขับปีนทางเท้าหรือขอบทางเด็ดขาด
2. ขับรถเดินหน้าและถอยหลังทางตรง
3. ถอยหลังเข้าซอง เปลี่ยนเกียร์เดินหน้าและถอยหลังรวมกันได้ไม่เกิน 7 ครั้ง และท้ายรถต้องตั้งฉากกับขอบทางพอดี
4. หยุดรถและออกรถบนทางลาด ขับรถขึ้นทางลาด แล้วเหยียบเบรกไม่ให้รถไหลลงจากทางลาด แล้วค่อยเดินหน้าต่อเพื่อออกรถ
5. กลับรถ โดยไม่เบียดหรือชนหลักที่ตั้งเอาไว้
6. ขับรถตามเครื่องหมายจราจร ขับรถไปตามช่องทางที่กำหนด ปฏิบัติตามป้ายจราจร และห้ามลืมเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้ง

ขั้นตอนสำหรับคนที่มาต่อใบขับขี่

สำหรับใครที่ได้ใบขับขี่ไปใช้งานซะจนหมดอายุแล้วล่ะก็ การต่อใบขับขี่ทุกวันนี้เค้าให้เราขับฟังอบรม 2 ชั่วโมงก่อนถึงจะยื่นเรื่องขอต่อใบขับขี่ได้ ถ้าใบขับขี่ขาดไม่เกิน 1 ปี ก็ฟังแค่อบรม ทดสอบสมรรถภาพ แล้วก็สอบข้อเขียนเท่านั้น ไม่ต้องสอบปฏิบัติ แต่ใครที่ใบขับขี่ขาดเกิน 3 ปี อันนี้ต้องสอบใหม่หมด ซึ่งเสียเวลากว่ากันเยอะเลยล่ะ

เอกสารต่อใบขับขี่

สำหรับคนที่มาต่อใบขับขี่ทุกคน ก็เตรียมเอกสารต่อใบขับขี่เหล่านี้มาด้วยนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับไปเอา หรือมาใหม่ในวันหลัง
1. บัตรประชาชนตัวจริง พร้อมสำเนา
2. ใบขับขี่ของเก่าที่หมดอายุ
แล้ว
3. ใบรับรองแพทย์ ไม่เกิน 1 เดือน
4. เงินค่าธรรมเนียม 605 บาท

เอาจริง ๆ การสอบใบขับขี่นั้นไม่ยากเลยนะ ถ้าเราตั้งใจฝึกฝน และติวข้อสอบใบขับขี่ดี ๆ ยังไงก็ผ่าน ที่สำคัญเลยก็คือ ขอให้มีสมาธิ ฟังกฎให้เข้าใจ และเมื่อได้ใบขับขี่มาแล้ว อย่าลืมทำประกันรถยนต์ให้กับรถของคุณ เป็นมือใหม่หัดขับ อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นง่ายๆได้เสมอ