เงินเป็นปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้เลยนะ เพราะตั้งแต่เราเกิดมา เราก็ต้องใช้เงินกันแล้ว ไม่ว่าจะอาหารการกิน เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ทุกอย่างใช้เงินหมด ยิ่งทุกวันนี้ค่าครองชีพก็มีแต่สูงขึ้นด้วย แค่ก้าวขาออกจ้างบ้านก็เป็นอันต้องเสียเงิน ทำให้หลาย ๆ คนพยายามอย่างมากที่จะหารายได้จากหลาย ๆ ช่องทางเพื่อมากลบช่องโหว่ หรือรายจ่ายที่ตัวเองเสียไป ซึ่งบางคนก็ทำได้ แต่บางคนที่ไม่รู้จะไปหารายได้เสริมจากทางไหน หรือทำอะไรดี ไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น แต่อยากได้เงินเพิ่ม จึงมีตัวเลือกที่เป็นทางลัดโผล่ขึ้นมาเป็นออพชั่นเสริม นั่นก็คือ “บัตรเครดิต” นั่นเอง
บัตรเครดิตแทบจะเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ต้องมีติดกระเป๋าพนักงานออฟฟิศทุกคนในประเทศไทยไปแล้ว เพราะมันทั้งสะดวก สบาย เสกเงินมาใช้ล่วงหน้าเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วค่อยไปจ่ายคืนทีหลัง เหมือนกับเราไปยืมเงินเพื่อนนั่นแหละ แต่บัตรเครดิตดีกว่าหน่อยตรงที่อันนี้ไม่ต้องไปฟังเสียงใครบ่น หรือเสียงคนทวง เพราะการใช้บัตรเครดิตจะมีดอกเบี้ยตามมา นั่นหมายความว่า เราต้องคืนเงินที่มากกว่าเดิม ดังนั้นตรงนี้ก็สำคัญเหมือนกันนะที่เราต้องเรียนรู้การคิดดอกเบี้ยว่าเค้าทำกันยังไง เพื่อจะได้คำนวณดอกเบี้ยได้ถูกว่าวันไหนเราต้องจ่ายคืนเท่าไหร่ จะได้ใช้บัตรเครดิตได้อย่างสบายใจ รูดได้แบบไม่ต้องกลัวเป็นหนี้
การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตเกิดขึ้นได้ยังไง
คำถามแรกเลยหลังจากที่เพื่อน ๆ เริ่มมองหาบัตรเครดิตกันแล้วก็คงพะวงเรื่องดอกเบี้ยใช่มั้ยล่ะ เพราะเห็นหลาย ๆ คนเป็นหนี้บ้างอะไรบ้าง นั่นเป็นเพราะคนเหล่านั้นขาดวิธีการคำนวณดอกเบี้ยและความเข้าใจในการคิดดอกเบี้ยนั่นเอง เลยทำให้บริหารเงินสดในมือได้ไม่มีประสิทธิภาพ และกลายเป็นหนี้ในที่สุด
ซึ่งดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า แล้วทยอยผ่อนจ่ายคืนเค้าไป ตรงนี้ระหว่างที่ผ่อนจ่ายก็จะมีดอกเบี้ยตามมาเรื่อย ๆ หรืออีกกรณีนึงคือ การถอนเงินสดจากบัตรเครดิตมาใช้ ซึ่งยังไงก็ตามค่าดอกเบี้ยที่ตามมาจะสูงสุดที่ 20% ไม่มากไปกว่านั้น เพราะแบบนี้ไงคนถึงเลือกใช้บริการบัตรเครดิตมากกว่ากู้นอกระบบ เพราะถึงแม้จะมีเงื่อนไขยุ่งยากนิดหน่อย แต่ดอกเบี้ยต่าง ๆ น้อยมากถ้าเทียบกับพวกกู้นอกระบบ แถมยังมีกระบวนการต่าง ๆ ที่ชัดเจน ตรวจสอบได้หมด ขอแค่เรารักษาวินัยในการผ่อนจ่ายของตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหนี้แล้ว
วิธีคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบง่าย ๆ
เพื่อให้เราบริหารแผนการเงินในแต่ละเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรู้ว่าเดือนนี้เราจะเหลือเงินเท่าไหร่ เราต้องเข้าใจถึงการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตกันซะก่อน จะได้หักลบกับเงินในบัญชีได้ ซึ่งบัตรเครดิตเค้าจะสรุปยอดว่าเราใช้ไปเท่าไหร่ในวันที่ 25 ของทุกเดือน และทำการเรียกเก็บในอีก 2 อาทิตย์ถัดไป เพื่อให้เรามีเวลาหาเงินมาใช้คืนอะไรทำนองนั้น โดยการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตนี่ก็ให้เพื่อน ๆ ท่องสูตรเอาไว้เลยนะว่า
ดอกเบี้ยบัตรเครดิต = (ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวัน) / 365
เช่น ถ้าเรารูดบัตรซื้อทีวี 50 นิ้วมา 20,000 บาท วันที่ 5 เดือนนี้ เค้าจะสรุปยอดให้วันที่ 25 ว่าเราต้องจ่ายเท่าไหร่ แล้วอีก 2 อาทิตย์ก็จะเรียกเก็บเงิน ก็ประมาณวันที่ 8 เดือนหน้า ถ้าเราจะจ่ายขั้นต่ำ (10%) ในวันที่ 8 ก็เท่ากับเราต้องจ่าย 2,000 บาท ดอกเบี้ยเค้าก็จะคำนวณ 2 ส่วนคือ
- ส่วนที่ 1 วันที่ใช้บัตรเครดิต ถึง วันที่ปิดยอดบัตรเครดิต 5 – 25 เดือนนี้
หรือคิดง่าย ๆ ว่า 20,000 x 20% x 21 วัน / 365 วัน = 230.14 บาท
- ส่วนที่ 2 วันถัดจากวันที่ปิดยอด – วันที่ค้างชำระ 26 เดือนนี้ – 8 เดือนหน้า
หรือคิดง่าย ๆ ว่า 20,000 x 20% x 14วัน / 365 วัน = 153.42 บาท
แล้วพอในเดือนต่อ ๆ ไป ก็เปลี่ยนจาก 20,000 เป็น 18,000 เพราะเราจ่ายขั้นต่ำไปแล้ว 2,000 บาท ซึ่งก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน ๆ แต่ก็นั่นแหละถ้าจะให้ดีที่สุดเลยคือ เราต้องรีบจ่ายหนี้บัตรเครดิตทุกอย่างให้ไวที่สุด เพื่อที่เค้าจะได้กินดอกเบี้ยเราได้น้อย ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ จ่ายให้ครบตามกำหนดระยะเวลาของเค้าก็จะดีมากเลย
ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกเป็นยังไง
ไหน ๆ ก็ลากยาวเรื่องบัตรเครดิตกันมาขนาดนี้แล้ว ขอแถมเรื่องดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกให้เพื่อน ๆ ทราบกันสักหน่อยแล้วกัน ซึ่งดอกเบี้ยประเภทนี้ เป็นเหมือนวิธีคิดดอกเบี้ยของบริษัทบัตรเครดิตเค้า เพื่อให้เรามีตัวเลือกที่มากขึ้น ซึ่งเค้าจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะยอดเงินต้นที่เราค้างจ่ายในงวดนั้นเท่านั้น ทำให้ค่าดอกเบี้ยจะลดลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งจ่ายเงินต้น ยิ่งลดดอกเบี้ย อะไรประมาณนั้น ทำให้หลาย ๆ คนก็ชอบในดอกเบี้ยตัวนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่อัตราการคิดดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารเค้าก็จะไม่เหมือนกันนะ ตรงนี้ต้องตรวจสอบกันดี ๆ นิดนึง
ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากทำบัตรเครดิต แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารเพื่อประกอบการตัดสินใจ นอกจากดอกเบี้ยแล้ว สิ่งที่ควรสนใจขึ้นไปอีกก็คือสิทธิประโยชน์ที่บัตรเครดิตให้ตรงกับ ไลฟ์สไตล์ของเรารึเปล่า จะได้บัตรที่เข้ากับเราและไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุดค่ะ
